มิติใหม่การดูแลปัญหาสะเก็ดเงินราบลงอย่างปลอดภัยตามหลักการแพทย์แม่นยำ
ข้อมูลความรู้ทั่วไป
1. ความสัมพันธ์ของทฤษฏีใหม่การเกิดโรคสะเก็ดเงินกับตําแหน่งของสะเก็ดเงินชอบขึ้น
2. ทำให้รอยโรคสะเก็ดเงินราบลงอย่างปลอดภัย
เนื่องจากไม่ว่าการรักษาแบบใด ราคาแพงแค่ไหน ก็ไม่สามารถเปลี่ยนผิวสะเก็ดเงินให้เป็นผิวปกติได้ จึงควรคำนึงถึงความปลอดภัยโดยหลีกเลี่ยงยาที่ออกฤทธิ์แบบปูพรม เช่น สเตอรอยด์ ซึ่งนอกจากจะทำให้ผิวบางลงแล้วยังอาจมีผลเสียต่อ ตับ ไต และ อวัยวะต่างๆและมักจะกลับมาเป็นได้อีกอย่างรวดเร็วและเป็นมากกว่าเดิมเมื่อหยุดใช้ยา แต่จะใช้ก็ไม่ได้เพราะยิ่งใช้ผิวยิ่งบาง ยิ่งจะลุกลามโดยจะเห็นได้จากในวงการแพทย์ผิวหนังได้สั่งสอนกันมานานแล้วว่า ให้หลีกเลี่ยงการให้สเตอรอยด์ในโรคสะเก็ดเงิน
เพื่อให้การรักษาที่ปลอดภัยและได้ผลการรักษาที่แน่นอน แม้อาจไม่เร็วเท่ากับการใช้สเตอรอยด์ ควรใช้ทฤษฎีใหม่ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารที่ออกฤทธิ์บล็อกสัญญาณ (cell signaling blocking) ซึ่งมาจากยีน (gene) ที่จำเพาะกับสัญญาณที่เรียกว่า “สัญญาณการเกิดสะเก็ดเงิน” ที่ทำให้ผิวหนาตัว เป็นสะเก็ดเงิน และที่ทำให้หลอดเลือดขยายตัวเป็นสีแดง เกิดอาการที่เรียกว่าสะเก็ดเงินให้กลับมาเป็นผิวที่ดูปกติ เมื่อหยุดยาแล้วรอยโรคกลับมาใหม่ก็สามารถจะกลับไปใช้ทาใหม่หรือจะทาต่อไปเรื่อยๆก็ไม่มีผลเสียใดๆ
ดังนั้นทฤษฎีใหม่การรักษาสะเก็ดเงินให้ได้ผลแน่นอน ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพง ไม่จำเป็นต้องเป็นยาเพียงแค่เป็นผลิตภัณฑ์ที่นำมาทาแล้วจะต้องบล็อคสัญญาณการเกิดสะเก็ดเงินได้
ข้อพิสูจน์ว่าผลิตภัณฑ์ใดสามารถบล็อกสัญญาณการเกิดรอยโรค (lesion) สะเก็ดเงินได้ คือ ผลิตภัณฑ์นั้นจะต้องส่งผลให้ทุกรายที่ถูกรบกวนผิว เช่น การขัดถู แกะเกา มีพื้นที่ของผิวปกติเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน (อย่างน้อย 75 % ของพื้นที่รอยโรค) ภายใน 8 สัปดาห์
3. การตรวจสอบรอยโรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) ด้วยการย้อมสีขี้ไคลดูนิวเคลียส (nucleus)
วิธีการตรวจสอบว่ารอยโรคที่สงสัยว่าจะเป็นสะเก็ดเงิน คือ การตัดผิวหนังมาตรวจจะพบลักษณะที่สำคัญอย่างหนึ่งคือการมีนิวเคลียส (nucleus) ของเซลหนังกำพร้า (keratinocyte) ค้างอยู่ในชั้นขี้ไคลเป็นจำนวนมาก เรียกว่า parakeratosis ทำให้รอยโรคสะเก็ดเงินมีสะเก็ดสีเงิน
ดังนั้นแทนที่จะต้องตัดหนังมาตรวจให้เกิดบาดแผลเจ็บปวด ควรจะแค่การลอกเอาขี้ไคลออกมาย้อมสีส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ดู ถ้าพบว่ามีนิวเคลียส (nucleus) อยู่เป็นจำนวนมาก แล้วนำมาประกอบกับการให้แพทย์ตรวจโดยตรงหรือจากภาพลักษณะอาการของรอยโรค เข้าได้กับรอยโรคสะเก็ดเงิน ก็เชื่อถือว่าผลการตรวจได้เกินกว่า 90% แล้ว และสามารถตรวจสอบได้ด้วยตนเอง
ดังนั้นทฤษฎีใหม่คือ แทนที่จะตัดหนังมาตรวจ แต่แค่ดึงเอาขี้ไคลออกมาย้อมสีแล้วส่องกล้องจุลทรรศน์ร่วมกับการตรวจผิวโดยแพทย์
4. ชั้นขี้ไคลมีนิวเคลียส (parakeratosis) ที่ผิวปกติของผู้ที่เป็นโรคสะเก็ดเงิน
ทฤษฎีใหม่ของการเกิดรอยโรคสะเก็ดเงินเป็นจากภูมิคุ้มกันผิดของร่างกาย ผิวทั่วกายจึงมีความผิดปกติ เรียกว่าผิวสะเก็ดเงิน และสามารถตรวจสอบได้ด้วยการลอกชั้นขี้ไคลมาตรวจได้
5. ชนิดของรอยโรคสะเก็ดเงินทั่วไป (Psoriasis vulgaris)
ชนิดของรอยโรคสะเก็ดเงินมีผลต่อการยาก/ง่ายของการหายเองหรือหายจากการรักษา โดยทั่วไปแบ่งเป็น
1. สะเก็ดเงินแบบเป็นผื่น เป็นหยดๆ หรือดวงๆ (guttate psoriasis) รักษาหายง่ายและมักหายได้เอง
2. สะเก็ดเงินแบบปื้นเพิ่งเป็นๆหายๆ ในเวลาไม่เกิน 6 เดือน รักษาให้หายได้ไม่ยาก
3. สะเก็ดเงินแบบปื้นเรื้อรัง (chronic plaque type psoriasis) เป็นมานานเกิน 6 เดือน ไม่เกิน 3 ปีรักษาให้หายได้ยาก
4. สะเก็ดเงินแบบเป็นปื้นเรื้อรัง ดื้อ (recalcitrant psoriasis) เป็นมานานกว่า 3 ปี ไม่ตอบสนองกับการรักษาทั่วไปใดๆ รักษาให้หายได้ยากมาก
*** ทั้งนี้ ยกเว้นรายที่มีการรบกวนผิว เช่น ขัดถู แกะเกา เป็นต้น
6. ดัชนีชี้วัดประเมินผลลัพธ์การรักษาที่เป็น Gold standard
ประสิทธิภาพของผลลัพธ์การรักษาสะเก็ดเงิน ทำโดยการคำนวณความรุนแรงที่เปลี่ยนไปจากการรักษาที่เรียกว่า PASI (Psoriasis Area and Severity Index) คือการคำนวณคะแนน ร้อยละ (%) ของพื้นที่ของรอยโรคแต่ละรอยหรือพื้นที่ทั้งหมดทั่วร่างกาย ถูกแทนที่ด้วยผิวปกติได้เป็น % เท่าใดก็ได้คะแนนตามนั้น
เช่น ถ้าพื้นที่ของผิวปกติเข้าไปแทนที่พื้นที่รอยโรคคิดเป็น 75 % ของพื้นที่รอยโรคทั้งหมดจะให้คะแนนเป็น PASI 75 ถ้าแทนที่ทั้งหมดคิดเป็น 100 % จะมีคะแนนเป็น PASI 100 ในช่วงระยะเวลาที่กำหนด จะถือว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีประสิทธิภาพตาม Gold standard ซึ่งมีความหลากหลายมาก
ดังนั้นจากทฤษฎีใหม่ซึ่งให้ผลิตภัณฑ์ที่ถือว่าเป็น Gold standard คือใช้กับชนิดของรอยโรคที่กำหนด ต้องได้คะแนน PASI 75 ภายในเวลาไม่เกิน 8 สัปดาห์
7. การควบคุมสะเก็ดเงินที่ราบเรียบแล้ว
ฤษฎีการเกิดโรคสะเก็ดเงินในปัจจุบันเชื่อกันโดยทั่วไปว่าโรคสะเก็ดเงินเป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบจากภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติโดยคนส่วนใหญ่มีกรรมพันธุ์เป็นพื้นฐาน ภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติมีผลคือผิวหนังทั่วร่างกาย ส่วนการจะเกิดรอยโรค ณ ตำแหน่งใดขึ้นกับปัจจัยที่ต่างกันแต่ส่วนใหญจะอยู่ที่ตำแหน่งที่ถูกรบกวนบ่อยๆ
การรักษาทุกชนิดสำหรับสะเก็ดเงินที่ทำให้ผิวดูเป็นปกติได้ ยังไม่มีการรักษาใดที่สามารถทำให้หายขาดได้ โดยพบว่าชั้นขี้ไคลตรงที่เคยมีรอยโรคสะเก็ดเงินมาส่องกล้องจุลทรรศน์ดู จะยังคงมีลักษณะเหมือนตอนที่ “ผิวที่มีรอยโรคสะเก็ดเงิน” อยู่ตลอด
ภาพชั้นขี้ไคลที่ลอกออกจากตำแหน่งที่เคยเป็นสะเก็ดเงิน ยังคงพบความผิดปกติ จากการส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์
ทั้งนี้เพราะการเกิดเป็นสะเก็ดเงินเป็นความผิดปกติของภูมิคุ้มกันที่เกิดแล้วคงอยู่ตราบนานเท่านาน จำเป็นต้องคอยควบคุมไว้อย่างต่อเนื่อง
หากมีการใช้สเตรียรอยด์จะควบคุมได้ยากมากหรือแทบจะเรียกว่าไม่อาจควบคุมได้ รอยโรคจะกลับมาเร็วมากหลังหยุดใช้
การควบคุมต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการควบคุมต้องไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อผิวหนังและร่างกายแม้แต่น้อย ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม โดยต้อง block สัญญาณหรือออกฤทธิ์ เฉพาะสะเก็ดเงินเท่านั้น
หากยังไม่มีผลิตภัณฑ์ทาผิว ต้องพยายามไม่ให้ผิวเกิดการถูไถบ่อยๆที่เดิมและไม่ทำให้เกิดรอยเกา จะช่วยได้ระดับหนึ่ง
แนะนำผลิตภัณฑ์
EAZI ZORIA CREAM สูตรอ่อนโยนไม่ระคายเคือง ทาได้บ่อยครั้ง
วิธีใช้
ทาบริเวณที่ต้องการดูแลวันละ 2 ครั้ง หลังทําความสะอาดผิว
ส่วนผสมที่สำคัญ
Aqua, Isohexadecane, Macadamia Ternifolia Seed Oil, Zinc Gluconate, Cetyl Alcohol, Dimethicone, Steareth-2, Steareth-21, Butylene Glycol, Glycerin, Behenyl Alcohol, Terminalia Ferdinandiana Fruit Extract, Arginine, Xanthan Gum, Glycolic Acid, Sodium Metabisulfite, Lactic Acid, Sodium Magnesium Silicate, Citric Acid, Alcohol Denat., Camellia Sinensis Leaf Extract, Lecithin, Glycyrrhiza Glabra Root Extract, Melaleuca Alternifolia Leaf Oil, Phenoxyethanol, Ormenis Multicaulis Oil, Ethylhexylglycerin, Guaiazulene, BHA, BHT, Thuja Occidentalis Leaf Oil, Citronellol
คำเตือน
- ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
- สำหรับใช้ภายนอกเท่านั้น
- ระวังไม่ให้สัมผัสถูกดวงตา
- เก็บผลิตภัณฑ์ให้ห่างจากมือเด็ก
- เก็บในที่เย็นและหลีกเลี่ยงแสงแดด
0 Comments