เมื่อลูกเป็นโรคอีสุกอีใส พ่อแม่ต้องทำอย่างไร?

โรคอีสุกอีใส เป็นโรคติดต่อที่แพร่ผ่านทางลมหายใจ ไอ จาม การสัมผัสกับผู้ป่วยหรือใช้ของร่วมกัน โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลลา (Varicella Virus) แพร่ระบาดได้ง่าย โดยเฉพาะในโรงเรียน สถานรับเลี้ยงเด็ก หรือตามชุมชนทั่วไป เป็นโรคที่พบได้ตลอดทั้งปีแต่มักจะระบาดมากในช่วงหน้าหนาว

อาการโรคอีสุกอีใสในเด็ก

โดยปกติ โรคอีสุกอีใสจะมีระยะฟักตัวประมาณ 10-21 วัน โดยเฉลี่ยอยูที่ 14-16 วันหลังจากสัมผัสผู้ป่วยโรคอีสุกอีใสในระยะแพร่เชื้อ ผู้ป่วยจะสามารถแพร่เชื้อโรคได้ตั้งแต่ 48 ชั่วโมงก่อนผื่นขึ้น จนผื่นแห้งเป็นสะเก็ดทั้งหมด

อาการที่บ่งชี้ของโรคอีสุกอีใส

ผู้ป่วยจะมีไข้ต่ำ หรือไข้สูงก็ได้ ประมาณ 1-2 วัน มีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดกล้ามเนื้อ หลังจากเป็นไข้จะมีผื่นแดงเม็ดเล็กๆ ต่อมาจะกลายเป็นตุ่มน้ำใส โดยมีจำนวนตุ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จะขึ้นตรงบริเวณลำตัวก่อน ลามไปที่คอ หน้า ศีรษะ แขนขา และลามไปได้ทั้งตัว หรือแม้ตามเยื่อบุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเยื่อบุในช่องปาก ลำคอ หรือเยื่อบุตา เมื่อเวลาผ่านไปตุ่มใสจะกลายเป็นตุ่มน้ำขุ่น มีขนาดใหญ่และแตกได้ง่าย หรือฝ่อกลายเป็นสะเก็ด เมื่อโรคหายแล้วจะยังคงมีเชื้อบางส่วนหลงเหลืออยู่ และเชื้อชนิดนี้มักจะหลบซ่อนอยู่ในปมประสาท จึงทำให้มีโอกาสเป็นโรคงูสวัดในภายหลังเมื่อยามที่ร่างกายอ่อนแอ หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำลง

การรักษาอีสุกอีใส ต้องทำอย่างไร ?

  • การรักษาส่วนใหญ่เป็นรักษาตามอาการ เนื่องจากโรคนี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัส จึงไม่จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะ ยกเว้นมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
  • ถ้ามีอาการไข้ให้เช็ดตัว กินยาลดไข้พาราเซตามอล ห้ามกินยาแอสไพรินเพราะอาจมีภาวะแทรกซ้อนได้
  • หากมีอาการคันที่ผิวหนังอาจทายาแก้คัน เช่น คารามาย (Calamine lotion) หรือกินยาต้านฮิสตามีน บรรเทาอาการคัน
  • ผู้ป่วยควรตัดเล็บให้สั้น และหลีกเลี่ยงการแกะหรือเกาตุ่มที่คัน เพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนได้
  • ควรแยกผู้ป่วยออกจากบุคคลอื่นจนพ้นระยะติดต่อ รวมทั้งแยกข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวต่างๆ เช่น เสื้อผ้า แก้วน้ำ ช้อน จาน ชาม เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่กระจายของเชื้อโรค
  • ผู้ป่วยที่เป็นหญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือผู้ป่วยมีอาการแทรกซ้อนควรไปพบแพทย์

ภาวะแทรกซ้อนของโรคอีสุกอีใส

ภาวะแทรกซ้อนมักพบในทารกแรกเกิด ผู้ใหญ่ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยและรุนแรงคือ ติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง การติดเชื้อในกระแสเลือด ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ปอดอักเสบ สมองอักเสบ เป็นต้น

วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส

  • แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกใสได้ตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป
  • เด็กเล็กฉีดวัคซีนเข็มแรกเมื่ออายุ 1 ถึง 1 ปีครึ่ง และเข็มที่ 2 เมื่ออายุ 4-6 ปี
  • เด็กโตและผู้ใหญ่ให้ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 2 เดือน
  • ทั้งนี้ การฉีดวัคซีน 2 เข็ม เพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันโรค และช่วยลดความรุนแรงของโรคได้ดีขึ้น

ข้อควรระวัง! ในการฉีดวัคซีนอีสุกอีใส

  • ห้ามฉีดในคุณแม่ตั้งครรภ์ หรือก่อนการตั้งครรภ์อย่างน้อย 3 เดือน ดังนั้นหลังฉีดวัคซีนควรคุมกำเนิดไว้ก่อน
  • ห้ามฉีดในคนที่แพ้ยานิโอมัยซิน
  • ห้ามฉีดในคุณแม่ที่ให้นมบุตร

แม้ ‘วัคซีนอีสุกอีใส’ จะได้ผลในการป้องกันโรคมากถึงร้อยละ 94-99 แต่ผู้ที่ฉีดแล้วยังมีโอกาสเป็นโรคได้ เพียงแต่อาการจะไม่รุนแรง ทั้งนี้สามารถเริ่มฉีดได้ตั้งแต่เด็กอายุ 1 ปีขึ้นไป