ชนะขาด!! “ภูมิแพ้อากาศ” ตัวร้าย รู้ทันอาการและการป้องกัน
ภูมิแพ้อากาศ เกิดอาการได้เมื่ออุณหภูมิและความชื้นในอากาศมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หรือเกิดจากการสูดดมสารระคายเคืองต่างๆ ในอากาศ เช่น ไรฝุ่น ขนสัตว์เลี้ยงในบ้าน เกสรดอกไม้ หรือมลพิษทางกาศ เมื่อได้สัมผัสกับสิ่งกระตุ้นดังกล่าว จะทำให้เกิดอาการ คันจมูก ไอ จาม แน่นจมูก หรือน้ำมูกไหล ได้
ภูมิแพ้อากาศ เกิดจากอะไร?
ภูมิแพ้อากาศ เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายในแต่ละคน มองว่าสารก่อภูมิแพ้ที่รับเข้าไปนั้น เป็นอันตรายต่อร่างกายหรือไม่ ซึ่งการสูดดมสารระคายเคืองต่าง ๆ เช่น ไรฝุ่น ขนสัตว์เลี้ยงในบ้าน เกสรดอกไม้ หรือมลพิษทางอากาศ รวมถึงสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละวัน หากร่างกายเราปรับตัวไม่ทัน ระบบภูมิคุ้มกันจะตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้เหล่านั้น โดยหลั่งสารฮีสตามีน (Histamine) และเม็ดเลือดขาว (Leukotrienes) ออกมาตามกระแสเลือด จนทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ต่าง ๆ เช่น คันตา คันจมูก จาม น้ำมูกไหล และแน่นจมูกตามมาได้ อาการแสดงดังกล่าวที่เกิดขึ้นนั้น เพื่อพยายามป้องกันไม่ให้สารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกายนั่นเอง
อาการภูมิแพ้อากาศมักจะได้รับการถ่ายทอดจากพันธุกรรม และสัมผัสกับผู้ที่เป็นโรคหอบหืดด้วย รวมถึงภูมิแพ้ผิวหนังก็มีแนวโน้มที่จะพัฒนามาเป็นภูมิแพ้อากาศตามมาด้วยเช่นกัน
อาการแบบไหน ที่เรียกว่าภูมิแพ้อากาศ?
“ภูมิแพ้อากาศ” ถือว่าเป็นโรคยอดฮิตอันดับต้น ๆ ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ผู้ป่วยโรคนี้แต่ละคนจะมีอาการแตกต่างกัน และความรุนแรงไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับชนิดของสารก่อภูมิแพ้ที่ได้รับและการตอบสนองของร่างกายแต่ละบุคคล โดยมีอาการ ดังนี้
- อาการทางจมูก ผู้ป่วยจะมีอาการคันจมูก คัดจมูก จาม น้ำมูกไหล
- อาการทางตา ผู้ป่วยจะมีอาการคันตา เคืองตา น้ำตาไหล ตาแดง เปลือกตาบวม ใต้ตาคล้ำ เยื่อบุตาอักเสบ
- อาการทางผิวหนัง ผู้ป่วยจะมีอาการผิวแห้ง เป็นขุย แดง และมีอาการคัน หรือเป็นผื่นลมพิษ
วิธีป้องกันและการรักษา ภูมิแพ้อากาศ
1. หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้
ถ้าทราบแล้วว่าแพ้สิ่งใดให้จัดการสิ่งนั้นให้ไกลจากตัว เช่น ถ้าแพ้ไรฝุ่น ให้ทำความสะอาดเครื่องนอนอย่างถูกวิธี หรือ ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ป้องกันไรฝุ่น แต่ถ้ายังไม่ทราบว่าสารก่อภูมิแพ้คือสิ่งใด ให้ค่อย ๆ ลองสังเกตสิ่งที่กระตุ้นอาการภูมิแพ้ หรือ ปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจหาสารที่แพ้ เช่น การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง (Skin Pick Test) เป็นต้น
2. ดูแลสุภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคต่าง ๆ ได้ รวมถึงโรคภูมิแพ้อากาศด้วย โดยควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30 นาที อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง จะทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง และทำให้อาการโรคภูมิแพ้ค่อย ๆ ดีขึ้น
3. การใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการภูมิแพ้อากาศ
ยาชนิดกิน เป็นรูปแบบยาที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน
ยารักษาโรคภูมิแพ้ที่เป็นยาเม็ดมีหลายกลุ่มยา เช่น ยากลุ่ม Antihistamines ซึ่งจะมีทั้งชนิดที่ทำให้ง่วงและชนิดที่ทำให้ไม่ง่วงนอน ยาในแต่ละชนิดควรเลือกให้เหมาะสมกับอาการของแต่ละคน
ยาชนิดพ่นจมูก (Nasal Spray) ถูกพัฒนาขึ้นมาให้สามารถนำส่งตัวยาเข้าไปที่โพรงจมูกได้โดยตรง เพื่อช่วยลดอาการข้างเคียงบางประการของตัวยากินบางชนิด แต่ยาพ่นจมูกก็มีวิธีการใช้ยาที่ซับซ้อนกว่ายาชนิดรับประทาน จึงควรปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์เกี่ยวกับวิธีการใช้ยาอย่างถูกวิธี เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ในการรักษาที่ดี และมีความปลอดภัยสูงสุด
0 Comments